วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แนวคิดเพร้าท์ (PROUT)

อะไรคือแนวคิดเพร้าท์ (PROUT)
เป็นคำย่อมาจาก Progressive Utilization Theory เป็นแนวคิดที่เผยแพร่โดย Prabat Ranjan Sargar (P.R.Sargar) นักปราชญ์ชาวอินเดีย ซึ่งมีการเผยแพร่ ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1959 โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ 2 ข้อ คือ
1. ทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มาจากจุดกำเนิดเดียวกัน และมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ไม่สามารถแยกจากกันได้ ดังคำกล่าวที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (Butterfly effect) หรือที่เกี่ยวข้องและโยงกับทฤษฎีไร้ระเบียบ (chaos theory)
2. ทรัพยากรในโลกนี้แม้มีจำกัด แต่ก็เพียงพอสำหรับทุกชีวิตในโลก เพียงแต่ต้องรู้จักการใช้ การแบ่งปันและรู้จักการนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้อย่างเหมาะสม ดังสำนวนในภาษาอังกฤษที่ว่า No need for orchestra if the guitar can do
PROUT เป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งพัฒนามาจากพื้นฐานจิตวิทยาแนวนีโอฮิวแมนนิส (Neo-Humanist Psychology) มีความเชื่อใน ความเป็นหนึ่งเดียวของคนในสังคมและ ความเท่าเทียมกันของคนในสังคมซึ่งดูจะคล้ายคลึงกับ แนวคิดทุนนิยม และ แนวคิดสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) หากมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยนำข้อดีและข้อด้อยของทั้งสองทฤษฎีมาผสมผสานกัน เน้นการนำแนวคิดไปใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของสังคมของตน เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่สมาชิกในครอบครัวโลก การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทุกชีวิตมีความสุข อยู่ดี กินดี และมีสันติภาพ ในขณะเดียวกันก็ยอมรับและธำรงรักษาซึ่งวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความแตกต่างหลากหลาย
แนวทางในการพัฒนาตามแนวคิด PROUT ประกอบด้วยสอง ส่วน คือการพัฒนาปัจเจกบุคคล และการปรับเปลี่ยนสังคม ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปอย่างจริงจัง
การพัฒนาปัจเจกบุคคล ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ
1. การมีคุณธรรม จริยธรรม
2. การมีคลื่นสมองต่ำ
3. การมีภาพพจน์ของตนเองในด้านบวก
ด้วยเหตุนี้บุคคลที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิด PROUT แล้วจะมีลักษณะ ดังนี้
1. เป็นคนดีมีคุณธรรม
2. เป็นคนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง
3. เป็นคนที่สนใจในความเป็นธรรมของคนในสังคม
4. เป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตัวเองสูง
5. เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัด
6. เป็นคนที่อยู่ห่างไกลจากสิ่งเสพติด
7. เป็นคนที่ทันสมัยแต่ไม่ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี
8. เป็นคนที่เคารพตนเองและเคารพคนอื่น
9. เป็นคนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในหลาย ๆ ด้านของชีวิต
(คัดลอกมาจากhttp://gotoknow.org/blog/neo-humanist/192616)
แนวคิดนีโอ-ฮิวแมนนีสนี้ ได้ถูกนำมาใช้ในวงการศึกษา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะนำมาใช้ในการบริการสาธารณสุขได้โดยการพัฒนาปัจเจกบุคคลให้มีคุณธรรมจริยธรรม การมึคลื่นสมองต่ำ ที่สอดคล้องกับที่ อ.นพ.วัชรพลได้พูดถึงในการอบรม ESB ว่าผู้ที่มีคลื่นสมองระดับอัลฟ่าลงมา(หรือขึ้นไปตามระดับคุณภาพของคลื่นสมอง) จะสามารถมีพฤติกรรมบริการที่ดี และการมองตัวเองโดยมีภาพพจน์ในด้านบวก ก็จะพัฒนาตนเองให้รักตนเองและรักเพื่อนมนุษย์ด้วย เพราะคนที่มีความสุขแล้วย่อมจะเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้ตอนนี้กำลังฝึกตัวเองแบบนีโอ-ฮิวแมนนีสอยู่ตาม Entry ที่เคยเขียนไปแล้ว มีรายงานวิจัยว่าผู้ที่มีคลื่นสมองต่ำสามารถทำให้ผู้อยู่ใกล้มีคลื่นสมองต่ำตามไปด้วยได้ อยากเห็นชุมชนคนสารภีมีการพัฒนาตามแนวคิดนี้บ้าง เพื่อตนเองและผู้ที่มาใช้บริการของเราจะได้มีความสุข ผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมแนวคิดนี้เชิญมาคุยกันได้นะคะ ไม่แน่ว่าชุมชนคนสารภีอาจเป็นหน่วยงานสาธารณสุขแห่งแรกที่นำแนวคิดนี้มาใช้เหมือนกับวงการศึกษานำมาใช้ ผู้ที่มีลูกเรียนอยู่ ร.ร.มงฟอร์ตลองศึกษาหรือถามลูกดูนะคะ ให้ลูกสอนเต้นเกาชิกิก็ได้
บาบานัม เควาลัม แปลว่า ความรักมีอยู่ทุกแห่งหน หรือ Love is all there is หรือ Love is everywhere เป็นบทมนตราที่เชื่อว่า ทำให้คลื่นสมองลดลงต่ำได้รวดเร็ว
ขอตัวไปเต้นเกาชิกิก่อนนะคะ

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความสุขเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก


วันนี้ได้ตรวจเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มาPCU ด้วยเรื่องไข้ ไอ น้ำมูก คุณพ่อเด็กพามา ดูจะรักลูกมาก ไม่ได้ยื่นบัตรแสดงสิทธิแต่นำใบสูติบัตรมาด้วย เช็คสิทธิพบว่ามีสิทธิ UC อยู่ที่รพ.เซ็นทรัล คุณพ่อน้องบอกว่าไม่เคยไปแจ้งสิทธิที่นั่นเลย และแสดงความกังวลว่าต้องทำยังไง ต้องเสียตังค์หรือเปล่า บอกว่าอาศัยอยู่ตำบลสารภีมาตลอดทำไมไม่มีสิทธิของสารภี เลยบอกว่าไม่เป็นไรวันนี้ให้สิทธิ UC ได้ แล้วประสานกับงานประกันของโรงพยาบาลขึ้นสิทธิของสารภี พอตรวจลูกสาวซึ่งอาการไม่มีความผิดปกติมาก แต่น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ พอดียังมีนมกล่อง งบของสปสช.ที่ทำโครงการขอเทศบาลไป เหลืออยู่เลยมอบให้คุณพ่อไปอีก 1 หีบ เสร็จแล้วก็ แนะนำให้ไปงานประกัน ซึ่งคุณพ่อก็กลับมาบอกว่าย้ายสิทธิได้แล้ว และยื่นใบแทนบัตรทองให้ดู พร้อมกับลากลับบ้านโดยลูกสาวหิ้วถุงยา คุณพ่อหอบนมกลับไป 1 หีบ เห็นสีหน้าแววตาที่โล่งใจเรื่องสิทธิบัตรและดีใจที่ลูกได้นมไปเสริมแล้ว ทุกคนใน PCU ก็รู้สึกดีใจจริงๆที่เราไม่ได้ละเลยเรื่องเล็กๆ แทนที่เราจะตรวจให้ยากลับบ้านเหมือนเคย เรายังได้เอาใจใส่เรื่องต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ป่วย และคิดว่าต่อไปเราจะพยายามให้เวลากับผู้ป่วยอย่างนี้ให้มากขึ้น

ขอบคุณอ.นพ.วรวุฒิที่อบรมสุนทรียสนทนาให้เรา วิชาที่อาจารย์สอนได้ใช้แล้วนะคะ และจะใช้ให้มากขึ้นเรื่อยๆค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไร เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

ได้นำไปแนะนำแก่ผู้ป่วยได้หลายๆท่าน กำลังรอผลการใช้อยู่คะ่

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิธีการลดอัตตา (Ego) ของตัวเอง

วิธีการลดอัตตา (Ego) ของตัวเอง ตามแนวนีโอฮิวแมนนิส

1. ยิ้ม ทักทาย สวัสดี ไหว้ผู้อื่นอย่างสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ยิ่งเรายิ้ม ทักทาย และไหว้ สวัสดีผู้อื่นก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าเรา มีตำแหน่งทางสังคมต่ำกว่าเรา จะเป็นการลดอัตตาที่ดีที่สุดและเร็วที่สุด

2. นั่งหรือนอนในที่ ๆ ทีคนจำนวนมากเดินเหยียบย่ำไปมาอยู่เสมอ เช่น นั่งกับพื้นแทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ นอนกับพื้นแทนที่จะนอนบนเตียง

3. ทำลาร์ลิตา มาร์มิการ์ (การออกกำลังกายของโยคะศาสตร์) ด้วยการร้องเพลงมันตรา(บาบานัม เควาลัม) เสียงดัง ๆ การชูมือในท่ายอมแพ้ หรือพนมมือพร้อมกับการร้องเพลงมันตรา (บาบานัม เควาลัม แปลว่า ความรัก ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง) จะช่วยให้จิตใจเราอ่อนน้อม สงบ เยือกเย็น มีสมาธิยิ่งขึ้น

4. ฝึกสติด้วยการเต้นเกาชิกิ (การออกกำลังกายของโยคะศาสตร์) อย่างถูกต้อง (แขนตึง ชิดใบหูสองข้างตลอดเวลา) อย่างน้อยวันละ 5-10 นาที เพื่อ นอกจากนี้การเต้นเกาชิกิอย่างถูกต้องจะเป็นการฝึกมหาสติที่สมบูรณ์ตามหลักโยคะศาสตร์ เมื่อเรามีสติสูงขึ้น เราจะให้อภัยให้ตัวเองและผู้อื่นได้ง่ายขึ้น และยังทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายด้วย

5. ฝึกการให้เกียรติแก่ผู้อื่น โดยไม่เลือกชั้น วรรณะ ฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน และผู้ที่คนในสังคมไม่ให้เกียรติ

6. ฝึกอดอาหาร (Fasting) หนึ่งวัน (24 ชั่วโมง) อย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง นอกจากจะมีผลดีต่อการขับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายแล้ว การอดอาหารจะเป็นช่วงที่เราไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเหมือนวันอื่น ๆ ศักยภาพทางร่างกายจะลดลง และทำให้อัตตาตัวตนของเราพลอยลดลงไปด้วย

คัดลอกมาจาก blog เล่าเรียนเขียนอ่าน ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


อยากให้ชุมชนสารภีได้ลองปฏิบัติดูนะคะ ตัวเองกำลังฝึกทำได้บ้างพอสมควรค่ะ โดยเฉพาะข้อ 1 แค่ยกมือไหว้คนไข้ที่มารับบริการนอกจากลดอัตตาตนเองแล้วยังทำให้ผู้มารับบริการจากเราแปลกใจ บางคนตกใจ บางคนที่กำลังเครียดๆ ทำท่าจะอาละวาด หยุดชะงักได้เลยค่ะ ไม่มีใครใจร้ายพอที่จะอาละวาดกับคนที่ยกมือไหว้เขาหรอกนะคะ แต่ที่ต้องฝึกต่อไปคือ ไหว้คนที่อาวุโสน้อยกว่า ยังไม่ได้ทำเลยค่ะ กำลังคิดว่าต่อไปจะลองทำดู หากชุมชนสารภีเราเห็นคนตัวผอมยกมือไหว้ก็อย่าแปลกใจนะคะว่า บ้าอ่ะป่าว รับไหว้หน่อยก็ดีค่ะ

2. นั่งหรือนอนในที่ ๆ ทีคนจำนวนมากเดินเหยียบย่ำไปมาอยู่เสมอ กำลังจะเปลี่ยนแปลง PCU ให้สามารถนั่งและนอนกับพื้นได้ ผอ.อนุมัติงบประมาณด้วยนะคะ อิอิ

3.ทำลาร์ลิตา มาร์มิการ์ กำลังทำเหมือนกันที่บ้าน บาบานัม เควาลัม บาบาหนั่ม เค้วาหลั่ม ใครสนใจมี mp3 ให้ก๊อปด้วย

4. ฝึกสติด้วยการเต้นเกาชิกิ เคยเต้นกับลูก ไม่ง่ายเลยนะคะ เท้ามันไม่สัมพันธ์กันเลย

5. ฝึกการให้เกียรติแก่ผู้อื่น กำลังพยายามเหมือนกันค่ะ เช่น อ้ายจรูญ คนไข้ Schizophrenia "เชิญเจ้าอ้ายจรูญ วันนี้บ่แต่งเพลงมาหื้อแฮ๋มกา ม่วนดีเนาะ" อ้ายจรูญยิ้มแก้มปริ "เดี๋ยวผมจะเอาเทปมาหื้อหมอเน้อครับ" เอาล่ะบ๋อ ชักแหยงๆ "บ่เป๋นหยังเจ้า เจ้าบ่มีเครื่องเล่นเทป" เกือบไปเนาะ ไม่งั้นได้ฟังเพลงแปลงของอ้ายจรูญแน่

6. ฝึกอดอาหาร (Fasting) หนึ่งวัน (24 ชั่วโมง) อย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง

อันนี้ท่าจะยาก รอวิทยายุทธแก่กล้าก่อนเน้อ ขืนอดอาหารมีแต่กระดูกแน่เลย


ตอนนี้กำลังจะ"เข" สมาชิก PCU ทำก่อน บางทีอาจลามไป อสม. ได้ผล อย่างไรจะกลับมาบอกนะคะ ใครจะทำก่อนก็ได้นะคะ ของดีๆ ใครก็ทำได้ ช่วยกันทำเยอะๆ องค์กรเราจะได้ไปโลด ใครก็คงไม่มาร้องเรียนเราหรอกนะคะ


สวัสดีค่


เรียบเรียงเรื่องตาทับ


ดีใจที่ได้ช่วยตาทัพ ที่มีอาการหืดหอบมาเข้ามาที่ PCU ผมได้เข็นตาไปห้อง ฉุกเฉิน วัด V/S นั่งดูอาการของตาจนตามีอาการดีขึ้น วันนี้ตานอนรักษาที่โรงพยาบาลผมเข้าไปเยี่ยมตาที่ห้องIPD ผมเห็นรอยยิ้มของตาตอนที่ผมเข้าไปผมดีใจที่เห็นตาทัพอาการดีขึ้น ความภาคภูมิใจของผมคือการช่วยเหลือและได้ดูแลตาทัพ จึงทำให้รู้ถึงการบริการการช่วยเหลือที่มีต่อผู้ป่วย จึงทำให้ผมรักในการทำงานด้านชุมชน